ประธานกทช.ยันปิดช่องโหว่ ใบอนุญาต 3G ทุกด้านไม่ว่าเรื่องกม.หรือเรื่องคอนเทนต์ที่คาบเกี่ยวระหว่างโทรคมนาคมกับ บรอดคาสติ้ง ด้าน ‘พรชัย’ อดีตประธานสหภาพฯ ทีโอที แจงข้อเท็จจริงและข้อกม.กทช.ไม่มีอำนาจดำเนินการได้ คาดประชาพิจารณ์ 28 ก.ย.เดือด เพราะเป็น 3G license to kill ทีโอทีกับกสท
พล.อ.ชูชาติ พรหมพระสิทธิ์ ประธานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) กล่าวว่าในวันที่ 28 ก.ย.ที่จะถึงนี้จะมีการทำประชาพิจารณ์เรื่อง 3G เพื่อเปิดรับฟังข้อเสนอทั้งหมดและยืนยันว่าสามารถปรับแก้ไขรายละเอียดที่สม เหตุสมผลได้ เพื่อให้บริการ 3G เป็นประโยชน์กับภาพรวมและเป็นโอกาสที่ดีของประชาชนในการเข้าถึงคอนเทนต์ที่ มีประโยชน์ด้วยช่องทางที่สะดวก
"กทช.ยืน ยันว่าเรื่อง 3G จะสามารถประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาในปลายเดือนต.ค.ที่จะถึงนี้และจะสามารถ เปิดประมูลออกชั่นได้ภายในปลายปีนี้แน่นอน"
ส่วนกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าบริการภายใต้ใบอนุญาต 3G จะเป็นการผสมผสานกันระหว่างโทรคมนาคมกับบรอดคาสติ้ง (การแพร่ภาพกระจายเสียง) ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาเพราะกทช.ไม่มีอำนาจกำกับดูแลคอนเทนต์ได้ ซึ่งเรื่องนี้กทช.แก้ปัญหาด้วยการให้คณะอนุกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียง และกิจการวิทยุโทรทัศน์ ซึ่งเกิดขึ้นจากบทเฉพาะกาลของพ.ร.บ.วิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์ พ.ศ.2551 เป็นผู้ที่จะพิจารณาในเรื่องการกำกับดูแลคอนเทนต์จากบริการดังกล่าวโดยที่ ผ่านมาคณะอนุกรรมการนี้ ได้ตีกรอบในเรื่องของวิทยุชุมชนไปแล้วและกำลังตีกรอบในเรื่องของเคเบิลทีวี และทีวีดาวเทียม
ทั้งนี้คณะอนุกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์เกิด ขึ้นมาเพราะอยู่ในช่วงสุญญากาศยังไม่มีกสทช. (คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ) แต่รัฐต้องการให้มีการกำกับคอนเทนต์ในส่วนของวิทยุชุมชน เคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียม โดยที่คณะอนุกรรมการชุดนี้อยู่ภายใต้โครงสร้างกทช.
ดังนั้นกทช.จึงได้ทำหนังสือสอบถามไปที่คณะกรรมการกฤษฎีกาเมื่อเดือน ที่แล้ว เพื่อความแน่ใจว่า คณะอนุกรรมการซึ่งประกอบด้วยกรรมการ 22 คนนี้ สามารถทำหน้าที่กำกับดูแลคอนเทนต์ได้เลย โดยไม่ต้องทำเรื่องมาให้กทช.พิจารณาก่อนเพื่อให้เกิดความคล่องตัวของคณะ อนุกรรมการ
พล.อ.ชู ชาติ กล่าวว่าการเตรียมประมูลใบอนุญาต 3G ดำเนินการอย่างล่าช้ามากว่า 2 ปี เพราะมีอุปสรรคทั้งภายนอกและภายในถึงแม้กฤษฎีกาจะเคยตีความว่ากทช.สามารถจัด สรรคลื่นความถี่โทรคมนาคมได้ตามความจำเป็นแล้วก็ตาม ไม่ได้มีเจตนาที่จะเกิดขึ้นในช่วงเดียวกับทีโอทีเตรียมให้บริการ 3G ในรูปแบบให้เอกชนมาเหมาเช่าในลักษณะ MVNO หรือ mobile virtual network operator
สำหรับในส่วนของราคากลางของความถี่ในย่าน 2.1GHz ที่จะเป็นส่วนสำคัญในการประมูลนั้น อยู่ระหว่างพิจารณาว่าควรจะแจ้งต่อสาธารณะหรือไม่ แต่ยืนยันว่าราคากลางจะยังไม่ออกมาในช่วงที่ประกาศ 3G ในเดือนต.ค.รวมทั้งเรื่องแบงการันตีว่าจะต้องมีมูลค่าเท่าราคากลางหรือราคา เริ่มต้นประมูล (แบงการันตี 100%) ซึ่งอาจสร้างความได้เปรียบหรือเสียเปรียบกับผู้ประมูลนั้น ยังไม่ได้เป็นเงื่อนไขที่เป็นทางการเพราะมีระเบียบพัสดุในเรื่องนี้อยู่ กทช.ไม่สามารถกำหนดได้เอง
ทั้งนี้รายละเอียดประกาศเชิญชวน 3G ในเบื้องต้นระบุว่า คุณสมบัติผู้เข้าร่วมประมูล ต้องเป็นนิติบุคคลไทย หรือ มีต่างชาติถือหุ้นไม่เกิน 49%และผู้สนใจประมูลต้องไม่มีคลื่นความถี่ช่วง 1900 -2100 MHz ไว้ก่อนแล้ว ซึ่งผู้เข้าร่วมประมูลมีสิทธิ์เข้าประมูลคลื่นความถี่ทั้ง 2 แบบ แต่เลือกได้แค่ความถี่เดียว ขณะที่หลักเกณฑ์การให้ใบอนุญาต คือ มีจำนวนเท่ากับ 4 ใบอนุญาต แบ่งเป็น 3 ใบอนุญาตแรกได้คลื่นในช่วง 10 MHz และ อีก 1 ใบอนุญาตจะได้ 15 MHz เพราะคลื่นในย่าน 3G ของไทยมีเพียง 45 MHz เท่านั้น ผู้ได้รับใบอนุญาตต้องขยายโครงข่ายครอบคลุมการใช้งานของประชากรทั่วไปแบ่ง เป็น 2 เฟส คือ 2 ปีแรกครอบคลุม 50% ของการใช้งานต่อจำนวนประชากร และ ภายในเวลา 4 ปี ต้องครอบคลุมการใช้งาน 80% ของประชากร
กทช.รั้นเปิดประมูล 3G
นายพรชัย มีมาก อดีตประธานสหภาพฯทีโอทีกล่าวว่าหากดูข้อเท็จจริงและข้อกม.ของการประกอบ กิจการโทรคมนาคมที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ของกทช.จะพบว่าการประมูลใบอนุญาต 3G หรือแม้กระทั่งไวแม็กซ์ อาจเป็นการดำเนินการในสิ่งที่ไม่มีอำนาจเพราะ 1.โครงสร้างองค์กรในพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ 2543 แบ่งออกเป็น 2 องค์กร แยกอำนาจการบริหารกิจกรรมออกจากกันโดยเด็ดขาดคือกทช.กับกสช. และแยกหน่วยงานธุรการที่มีฐานะเป็นนิติบุคคลเป็น 2 หน่วยงานคือสำนักงานกทช.กับสำนักงานกสช.
2.หลักการตามพ.ร.บ.ดังกล่าวถูกยกเลิกโดยผลของรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 47 เมื่อครบ 180 วันนับแต่รัฐบาลชุดแรกได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ทำให้ต้องเปลี่ยนหลักการใหม่ในกิจกรรมการจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม ที่มีเนื้อหาสาระเป็นองค์กรเดียวคือเป็นการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่องค์กรเดียว (กสทช.) แล้วจึงแยกย่อยภายในเชิงบริหารกิจกรรมออกไปเป็นขั้นเป็นตอน
นายพรชัยกล่าวย้ำว่ากิจกรรมใดๆที่บัญญัติไว้ในพ.ร.บ.องค์กรจัดสรร คลื่นความถี่ฯ 2543 ว่าเป็นการใช้อำนาจร่วมกันของกทช.และกสช.นั้น กทช.จะไม่มีอำนาจดำเนินการโดยกทช.แต่ผู้เดียว รวมทั้งอำนาจในการบริหารคลื่นความถี่ที่มีบัญญัติไว้ในหมวด 3 ของพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ 2543 ก็มิอาจดำเนินการได้จนกว่าจะมีกสช.มาใช้อำนาจรวมกันเสียก่อน จึงจะครบองค์ประกอบการใช้อำนาจ
นอกจากนี้การอ้างถึงการตีความเรื่องการจัดสรรคลื่นความถี่ของคณะ กรรมการกฤษฎีกา ก็เป็นการตีความเมื่อเดือนส.ค.2549 หลังจากนั้น 1 เดือนก็เกิดการปฏิวัติ ยึดอำนาจและฉีกรัฐธรรมนูญ รวมทั้งกฤษฎีกาก็ตีความเพียงว่าให้จัดสรรได้หากมีความจำเป็นเท่านั้น
แหล่ง ข่าวในวงการโทรคมนาคมกล่าวว่าหากเปิดประมูลใบอนุญาต 3G ในขณะนี้สิ่งที่เกิดขึ้นคือเอกชนทั้งเอไอเอส ดีแทค และทรูมูฟ จะจัดตั้งบริษัทใหม่เพื่อประมูลใบอนุญาตรวมทั้งจะย้ายฐานลูกค้าออกจากบริษัท สัมปทานเพื่อไม่ต้องจ่ายส่วนแบ่งรายได้จำนวนมากอีกต่อไป ซึ่งทำให้ทีโอทีและกสทจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง
นอกจากนี้แนวทางให้ใบอนุญาตกทช. ยังเป็นการทำให้เกิดการแข่งขันกันสร้างโครงข่าย 3G ของโอเปอเรเตอร์ อย่างเอไอเอสคาดว่าจะใช้เงินกว่า 7 หมื่นล้านบาท หากในสเกลใกล้เคียงกันการแจก 4 ใบอนุญาตก็หมายถึงเงินหลายแสนล้านบาทต้องไหลออกนอกประเทศเพื่อเป็นค่า อุปกรณ์โครงข่าย สวนทางกับแนวคิดการใช้โครงข่ายร่วมกันเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้เอกชนหันมาแข่งกันด้านคุณภาพการให้บริการ ไม่ใช่แข่งกันถมเงินไปซื้ออุปกรณ์ เหมือนในอดีตที่ผ่านมาในรูปแบบสัญญาสัมปทาน
รวมทั้งการร่างเงื่อนไขผู้ที่จะได้รับใบอนุญาต จะต้องไม่มีส่วนได้เสียกับคลื่นในย่าน 3G ซึ่งหมายถึงการปิดประตูการเป็น MVNO หรือการเหมาแอร์ไทม์เพื่อให้บริการโดยไม่ต้องสร้างโครงข่ายเองของทีโอที ปิดทางการเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์หรือ strategic partner และอาจหมายถึงการปิดหนทางทีโอทีและกสทในการแข่งขันในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ด้วยมือองค์กรอิสระของรัฐเอง
"การให้ไลเซ่นส์ครั้งนี้ของกทช. เรียกได้ว่าเป็น 3G license to kill แต่เป็น kill ทีโอทีกับกสท"
http://www.manager.co.th